รีวิว ใจฟูสตอรี่
ประเทศ: Thailand | เสียงพากย์: Thai | ปี: 2022 | 100 นาทีประเภท: โรแมนติก, คอเมดี
ผู้กำกับ:พฤกษ์ เอมะรุจิ
นักแสดง:เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา, พีช-พชร จิราธิวัฒน์, มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร, ลี-ฐานัฐพ์ โล่ห์คุณสมบัติ, ฝน-ศนันธฉัตร ธนพัฒน์พิศาล, นัท-ณัฏฐ์ กิจจริต, ชิม่อน-วชิรวิชญ์ เรืองวิวรรธน์, ปั๋น-ดริสา การพจน์
ใจฟูสตอรี่ รีวิวหนังไทย แนวโรแมนติก คอมเมดี้
สำหรับภาพยนตร์เรื่อง ใจฟูสตอรี่ เป็นหนังรักไทยที่ตอนแรกไม่ได้สนใจมันเลย จนกระทั่งได้ดูตัวอย่าง และเห็นนักแสดงก็อยากดูทันที ทั้ง ฝน-ศนันธฉัตร, เอสเธอร์ และโดยเฉพาะ มินนี่ ภัณฑิรา ที่ความน่ารักเฉิดฉายสุด ๆ
หนังเรื่องนี้จะบอกเล่าเรื่องราวของเดี่ยวนักเขียนบทหนัง ที่ต้องมาเฝ้าแม่ที่ป่วยเข้า ICU ที่นั่นเขาได้พบกับบัวหญิงสาวที่มาเฝ้าแฟนที่ป่วยเข้า ICU เช่นกัน ระหว่างนั้นทั้งคู่ได้รู้จักกันและเราจะได้เห็น4 เรื่องราวความรักผ่านบทหนังของเดี่ยวที่บัวได้เป็นคนอ่าน รวมถึงอีกหนึ่งเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเฝ้าไข้ของทั้งคู่
เราจะมาขอพูดในภาพรวมก่อนว่าหนังมันออกมาดีกว่าที่เราคิดมาก ๆ มันเซอร์ไพรส์มาก เราชอบความที่หนังไม่เล่นท่ายาก ไม่ต้องพยายามทำให้มันซับซ้อนซ่อนเงื่อนอะไร เล่าแบบตรงไปตรงมา ง่าย ๆ ชัดเจน เข้าใจง่าย เอ็นจอยง่าย ไม่ต้องมีฉากขยี้พยายามประดิษฐ์ให้มันงดงาม หรือใส่คำพูดคม ๆ ซึ้ง ๆ มันคือหนังเรื่องราวความรักธรรมดา ๆ เลย ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ไอ้ความธรรมดาเนี่ยแหละมันก็พิเศษในตัวของมัน แถมมันยังให้อารมณ์ที่หลากหลาย ถึงแม้เรื่องราวจะไม่ได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าขัดอารมณ์แต่อย่างใด มันทำได้ดีมาก ๆ อีกต่างหาก
ต้องบอกก่อนว่าเรื่องราวทั้งหมดมีสถานการณ์โควิดมาเป็นวัตถุดิบหลักอย่างนึงในการดำเนินเรื่อง เพราะฉะนั้นในทุกเรื่องทุกตอนความรักของใจฟูสตอรี่ ก็จะมีสถานการณ์เกี่ยวกับโควิดมาข้องเกี่ยวอยุ่ และมันก็ไม่ได้ดูยัดเยียด บางตอนอาจมีแตะ ๆ ให้เกี่ยวข้อง แต่บางตอนก็หยิบยกมาขับเคลื่อนเรื่องราวได้เป็นอย่างดี
ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของ ตุ๋ย-พฤกษ์ เอมะรุจิ ผู้กำกับที่ฝากผลงานไว้กับแฟรนไชส์ไบค์แมน และ อีเรียมซิ่ง ซึ่งคราวนี้ก็กลับมาพร้อมภาพยนตร์คอมเมดี้ในสไตล์ที่เขาถนัด พร้อมเสิร์ฟคนดูในแบบ 5 คู่ 5 เรื่องราว และ 5 รสชาติ โดยเป็นการร่วมมืองานสร้างระหว่าง เอ็ม เทอร์ตี้ไนน์ (M39 Pictures) และ ไท เมเจอร์ (TAI MAJOR)
ใจฟู สตอรี่ เป็นหนังรักที่มีเนื้อหาแบบเรื่องสั้นจบในตอน ซึ่งแทรกไว้ในภาพยนตร์ขนาดยาวอีกที โดยเรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ ‘เดี่ยว’ (แสดงโดย พีช-พชร จิราธิวัฒน์) นักเขียนบทภาพยนตร์ผู้กำลังมาเฝ้าแม่ที่ป่วยหนัก ต้องปั่นบทหนังให้ทันก่อนจะถึงเดดไลน์ ในระหว่างนั้นเขาได้รู้จักกับ ‘บัว’ (แสดงโดย มินนี่-ภัณฑิรา พิพิธยากร)ครูสอนเปียโนที่มาเฝ้าคนไข้ที่โรงพยาบาล เดี่ยวจึงให้บัวได้ดูบทหนังที่รักที่เขาเขียนขึ้น และเรื่องราวในตอนที่ 1 ‘คนแปลกหน้า’ จึงเริ่มขึ้นนับแต่นั้น ต่อมาคือเรื่องราวตอนที่ 2 ‘คนตรงข้าม’ เล่าถึงหนุ่มสาวในคอนโดคู่หนึ่งที่รู้จักกันแบบ Social distancing จนพัฒนาความสัมพันธ์ไปถึงจุดที่กลับตัวไม่ได้ และตอนที่ 3 เรื่อง ‘คนข้างบ้าน’ ที่บอกเล่าเรื่องราวปั๊บปีเลิฟของคู่หนุ่มสาวมัธยม ซึ่งเล่าถึงความห่างไกลในระยะความสัมพันธ์ จากนั้นก็มาถึงตอนที่ 4 ‘คนที่เกลียด’ ซึ่งเป็นเรื่องราวของหนุ่มเดลิเวอรีที่บังเอิญพบว่า คู่แข่งที่ซิ่งกับเขาอยู่เป็นประจำก็คือสาวลึกลับที่รู้จักตัวตนเขาทุกอย่าง และตอนสุดท้ายอย่าง ‘คนแอบชอบ’ เป็นเรื่องราวของหนุ่มร้านสะดวกซื้อที่แอบชอบพยาบาล แต่อนิจจาเธอดันมีคนที่ชอบแล้วซะงั้น โดยรักวุ่น ๆ ทั้ง 5 เรื่องนี้ก็ร้อยเรียงกัน จนเป็นเรื่องราวของใจฟูสตอรี่ขึ้นมา
หลังจากอ่านเรื่องย่อแล้ว ความรู้สึกแรกเลย ผู้เขียนคิดว่าหนังน่าจะออกมาคล้าย ๆ กับ ภาพยนตร์ตระกูล ‘สคส. สวีทตี้’ ที่เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนหลายคู่มาพัวพัน และมีตัวละครจากตอนก่อน ๆ โผล่เข้าซีนมาเป็นอีสเตอร์เอ้กบ้าง แต่ทว่า เมื่อไปดูจริง ๆ กลับไม่ใช่แบบนั้น เพราะแต่ละตอนค่อนข้างเป็นแยกเนื้อหาเป็นเอกเทศไม่เกี่ยวข้องกัน มีเพียงในส่วนของพรอปประกอบฉาก ที่พอทำให้เดาได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดตั้งอยู่ในโลกเดียวกัน
สิ่งแรกที่ขอชมคือมุกตลกอันเฉียบคมของคุณตุ๋ยผู้กำกับ จากการขัดเกลาตัวเองในการกำกับเรื่องก่อน ๆ ก็ทำให้เรื่องนี้มีจังหวะคอมเมดี้โบ๊ะบ๊ะที่เป็นเอกลักษณ์ และการได้ทีมนักแสดงอันเก่งกาจอยู่ในเรื่องก็ช่วยขับความตลกธรรมชาติ ออกมาได้ถูกจังหวะมากขึ้น
เมื่อมองไปที่ภาพรวมของหนัง เราก็จะพบว่าใจฟูสตอรี่หนังมีองค์ประกอบศิลป์ที่งดงามมาก ๆ เพราะพร็อพประกอบและการจัดฉากในเรื่อง ถูกบรรจงสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน ซึ่งองค์ประกอบศิลป์ที่ดีจะทำให้จะทำให้คนดูรู้สึกเชื่อมโยงกับหนังได้มากขึ้น เช่น ในตอนคนตรงข้าม ที่นางเอกต้องกักตัวอยู่ในห้อง เราจะเห็นได้ว่าตัวละครมีการใส่เสื้อเก่า ๆ เพราะไม่ได้ออกไปไหน ซึ่งทำให้เราเข้าใจเลยว่าทีมอาร์ตเรื่องนี้ใส่ใจถึงความสมจริงเป็นอย่างดี หรือจะเป็นตอน คนข้างบ้าน ที่ให้พระเอกตัดผมรองทรง ซึ่งเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ใส่ใจถึงดีเทลทรงผมจริง ๆ ของเด็กนักเรียน โดยองค์ประกอบเล็ก ๆ เหล่านี้ ผ่านการคิดมาให้เกี่ยวเนื่องกับบทและสถานที่ เป็นสิ่งที่ขับความเป็นธรรมชาติออกมา จนทำให้คนดูอินกับหนังได้มากขึ้น
รีวิวตามความคิดเห็นส่วนตัวจากทางทีมงาน reviewmovies123
และที่ไม่ชมไม่ได้เลย คือฝีมือการกำกับภาพที่บรรจงวางเฟรมการถ่ายทำอย่างดีในทุกซีน ทุกจังหวะใช้เทคนิคการเล่นกับมุมกล้องได้ดี ถ้าใครชอบหนังภาพสวย น่าจะดูเรื่องนี้ได้อย่างเพลิน ๆ เลยล่ะ
แต่ทว่าใจฟูสตอรี่ก็มีจุดบอดใหญ่อยู่ที่บทหนัง แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความหลากหลายของตัวละคร แต่บทกลับมีแต่ความจำเจเต็มไปหมด เช่น ในทุกตอนความสัมพันธ์จะจำกัดที่คู่ชาย-หญิงแค่นั้น แต่ละตอนก็มักจะเปิดเรื่องราวด้วยมุมมองของฝ่ายชาย และค่อยไปเล่าเส้นเรื่องของฝ่ายหญิงทีหลัง ซึ่งทำให้เราเดาแพตเทิร์นได้ไม่ยากเลยว่า แต่ละตอนมันจะเล่าอะไรบ้าง
ประเด็นต่อมาคือบทที่ดูแล้วต้องอุทานว่า ‘อิหยังวะ’ เพราะหนังเลือกที่จะแสดงออกในการนำเสนอแบบปกติ แต่กลับให้ตัวละครเลือกแสดงออกด้วยการกระทำหรือบทพูดที่มีความเป็นการ์ตูนออกมา จนทำให้เรารู้สึกว่าบทหนังค่อนข้าง ’เบียว’ แบบไม่ถูกจังหวะเอามาก ๆ
ซึ่งปัญหานี้ก็ส่งผลถึงกลุ่มก้อนสถานการณ์ในเรื่อง เพราะแต่ละตอนในเรื่องเป็นเรื่องสั้น ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย แต่พอมันถูกโยนเข้ามารวมกันแบบมัดมือชก บทจึงออกมาแบบขาด ๆ เกิน ๆ ทำให้จังหวะของหนังดูเร่งรีบไปหมด คนดูไม่ทันได้ตกตะกอนกับสิ่งที่เกิดขึ้น หนังก็ตัดไปอีกฉากแล้ว
โดยสิ่งที่น่าเสียดายรองจากบทคือนักแสดง ซึ่งไม่ใช่พวกเขาเล่นไม่ดีนะ ทุกคนก็เล่นได้ดีเลยล่ะ แต่เพราะบทไม่ได้ถูกเขียนมาอย่างพิถีพิถันทำให้หนังเรื่องนี้ไม่สามารถขับเสน่ห์ของนักแสดงออกมาได้หมด เรียกได้ว่าแต่ละคนมาเพื่อ Cameo ด้วยซ้ำไป และเป็นอะไรที่น่าเสียดายเอามาก ๆ
พอย้อนกลับมาที่ชื่อหนังแล้ว ผู้เขียนเดาว่าที่ทางผู้สร้างต้องการให้ชื่อใจฟูสตอรี่ เพราะอยากให้คนที่มาดูหนังเรื่องนี้แล้ว ได้รับความรู้สึกแฮปปี้จนใจฟูกลับไป แต่ผู้สร้างคงลืมไปว่า ไม่ว่าเรื่องราวในหนังจะฟีลกู๊ดแค่ไหน แต่ถ้ามันไม่สามารถสื่อสารไปถึงใจคนดูได้ ก็มีแต่จะใจห่อเหี่ยวแทน
โดยรวมใจฟูสตอรี่คือหนังรักคอมเมดี้ดูง่าย หากไม่คิดอะไรก็สามารถดูเพลิน ๆ ได้เลย มีเสน่ห์ด้วยจังหวะตลกของนักแสดง และด้วยความเล่นท่ายากด้วยการใช้ 10 ตัวละครหลัก ก็อาจทำให้บางคนรู้สึกชอบเพราะบางตัวละครนั้นเหมือนกับตัวเราโดยไม่ตั้งใจ แต่ทว่าด้วยบทที่ไม่ได้พิถีพิถันนัก ก็ทำให้หนังไม่สามารถขับเสน่ห์ของนักแสดงออกมาได้หมด และจบไปอย่างไม่น่าจดจำเท่าใดนัก