รีวิว Minions The Rise of Gru
ประเทศ: United States | เสียงพากย์:English, | ปี: 2022 | 88 นาที ประเภท:(Anination) แอนิเมชั่น, ผจญภัย, ตลก
ผู้กำกับ:Kyle Balda Brad Ableson Jonathan del Val
นักแสดง (ผู้ให้เสียงพากย์): Steve Carell, Pierre Coffin, Taraji P. Henson, Michelle Yeoh, Russell Brand, Julie Andrews, Alan Arkin
รีวิวหนัง Minions The Rise of Gru ภาคต่อสุดมันส์ของเหล่ามินเนี่ยนมาแล้ว !!
วันนี้ทางทีมงาน revireview123 จะมารีวิวหนังที่กลับมาอีกครั้งอย่างเป็นทางการของเหล่ามินเนี่ยน นับตั้งแต่มีหนังเดี่ยวเป็นของตัวเองอย่างเรื่อง Minions (2015) และหนังภาคหลักล่าสุดคือ Despicable Me 3 (2017) โดยสำหรับ Minion The Rise of Gru ก็จะเล่าเรื่องราวต่อจากภาคแรกเกี่ยวกับเหล่ามินเนี่ยนที่หลังจากตามหาวายร้ายเพื่อรับใช้มายาวนาน สุดท้ายก็ได้มาพบกับกรู เด็กชายตัวแสบที่ฝันว่าจะเป็นวายร้ายระดับโลก ซึ่งเหล่ามินเนี่ยนและกรูก็ต้องเผชิญกับศัตรูวายร้ายที่กำลังตามล่าพวกเขาอยู่
สำหรับหนังเรื่องนี้ทางทีมงานของเราเชื่อว่าหลายๆ คนที่จะไปดูหนังเรื่องนี้ล้วนแต่อยากดูมินเนียนแน่ๆ ซึ่งกว่า 80% ของหนังภาพที่กระทบเรตินาของเราก็มีแต่เหลือง ๆ ฟ้า ๆ เต็มไปหมด แถมมันยังเล่นมุกกาว ๆ ฮา ๆ กวน ๆ ชวนขยับเหงือกเต็มไปหมด มิหนำซ้ำมันยังสัมทับด้วยการนำเสนอไลฟ์สไตล์ยุค 70s ที่เวิร์กมาก ๆ ทั้งร้านขายแผ่นเสียง เพลงฟังก์ หนังสุดฮิตอย่าง ‘Jaws’ และแฟชันที่ผลุบ ๆ โผล่ ๆ ให้เราได้ตื่นตาอยู่เรื่อย ๆ รวมถึงมุกล้อหนังดังที่บางมุกก็อาจลึกเกินเด็ก ๆ จะเข้าใจไปหน่อย
อีกจุดที่ถือเป็นไฮไลต์ของหนังคือการปรากฎตัวของตัวละคร อาจารย์โจว ที่มิเชล โหยว (Michelle Yeoh) ฝากเสียงพากย์ปรมาจารย์กังฟูในคราบหมอฝังเข็มได้อย่างน่าจดจำ แม้ว่าเวลาบนจออาจเทียบได้แค่ดารารับเชิญแต่เป็นหัวใจหลักส่งผลต่อบทสรุปไม่น้อย และเสียงของโหยวก็ทำให้ภาพของอาซิ่มตัวท้วมเต็มไปด้วยพิษสงและชวนให้นึกถึงหนังฮ่องกงสมัยเธอเป็นนางเอกไม่น้อยเลยทีเดียว
แม้จะรู้กันว่ามันไม่ใช่หนังดีเท่าไรนัก แต่ก็เป็นหนังที่มอบความสนุกบันเทิงให้กับคนดูได้อย่างดี ภาคนี้ถือเป็นภาคที่พอแก้ข้อเสียจากความตะกุกตะกักและไม่ลงรอยของภาคแรกพอสมควร ทั้งมีเส้นเรื่องที่สนุกเพลิดเพลิน โดยแต่ละเส้นเรื่องมันก็ตลกและน่าแปลกใจดี (ชอบเส้นเรื่องของการฝึกกังฟู ที่มี มิเชล โหย่ว มาพากย์เป็นครูฝึก มีสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของมินเนี่ยนเป็นครั้งแรก อีกทั้งชวนนึกถึง Everything Everywhere All at Once) หนังมีตัวละครที่น่าลุ้นน่าเอาใจช่วยมากขึ้นกว่าภาคแรก (ภาคแรกค่อนข้างแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวามาก) อย่างในส่วนความสัมพันธ์ที่เป็นแรงผลักให้กับกรูเป็นวายร้าย ส่วนเสน่ห์ความตลกเฮฮาบ้าบอของหนังก็ยังอยู่ครบ เลยทำให้หนังออกมามีสันมีชีวิตชีวา
ส่วนข้อเสียของหนังก็ยังคงเป็นที่เรื่องราวที่เดินตามสูตรขนบจนไม่ได้มีอะไรน่าลุ้นหรือพลิกแพลงมาก เลยทำให้หนังออกมาจืดชืด ความแฟนตาซีในช่วงท้ายก็ออกจะล้น ๆ จนขาดเสน่ห์ไปพอสมควร ส่วนที่ไม่ได้ชอบมาตั้งแต่ภาคก่อนหน้าอย่างพวกความง่ายดายของภารกิจที่นำไปสู่จุดหมายปลายทาง ความไร้เหตุผลในบางช่วงก็ยังไม่เข้าเราอยู่เสมอมาในภาคนี้
ส่วนตัวแล้วคิดว่าหากใครไม่ได้ดูภาคก่อนหน้ามาก็ต้องกลัวว่าจะดูไม่รู้เรื่อง เพราะก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนัก ภาคนี้เหมือนเป็นหนังที่จบในตัว แต่สำหรับใครที่ตามดูมา มันก็เป็นเรื่องราวจุดกำเนิดของกรูและเป็นปฐมบทของ Despicable Me ที่เล่าถึงที่มาที่ไปของ กรู ถึงแรงผลักอะไรและใครที่ทำให้เขากลายเป็นตัวตนเข้าสู่วายร้ายแบบเต็มตัวอย่างที่เขาเป็น อีกทั้งมันก็น่าจะเป็นหนังที่หวนคิดถึงสู่ Despicable Me อย่างดี ความตลกบ้า ๆ บ๊อง ๆ ยังคงเป็นเสน่ห์ของหนัง สนุกเพลิดเพลิน ความไม่จริงจังของมันและเหล่ามินเนี่ยนที่แย่งซีนทุก ๆ ครั้งของการปรากฎตัวในหนังก็ทำให้เราพอเอ็นจอยไปกับมันได้ดี
สำหรับเสียงพากย์ของสตีฟ คาเรลล์ (Steve Carell) ก็นับว่ามหัศจรรย์มากเพราะคาเรลล์บีบเสียงให้กรูกลายเป็นเวอร์ชันหนุ่มน้อยได้อย่างน่าเชื่อถือ ส่วนอีกคนที่น่าชื่นชมได้แก่ ทาราจี พี เฮนสัน (Taraji P. Henson) ก็มาให้เสียงพากย์เป็นเบลล์ บอตทอม หรือ ในซับไตเติลภาษาไทยสุดฮาแปลเป็น ขาบานสะท้านซอย ก็ให้เสียงพากย์ที่ดูไดนามิกแอบเซ็กซี่เล็ก ๆ สร้างสีสันได้ไม่น้อยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีเซอร์ไพรส์ด้วยการเชิญ ฌอง คล็อด แวน แดม (Jean-Claude Van Damme) มาพากย์เป็นตัวร้ายก้ามปูนาม ฌอง คลอว์ และ ดอล์ฟ ลุนด์เกรน (Dolph Lundgren) ในพากย์เป็น สเวนเจนซ์ แต่บอกตามตรงบทพากย์น้อยมากจนฟังไม่ออกเลย (ฮ่าาาา)
- อยากดูมินเนียน คือได้ดูมินเนียนออกมาป่วน ออกมาฮา เต็มสตรีมแน่นอน
- หนังทำออกมาเน้นฮา ใครอยากคลายเครียด นี่คือหนังที่ตอบโจทย์มาก ๆ
- กิมมิกยุค 70 ทำได้โดดเด่น ดูดีมีราคา และเสริมส่งกับเรื่องราวได้ดี
- โดยรวมไม่ได้มีอะไรใหม่ และใครต้องการข้อคิดดี ๆ หรือ ความลึกระดับปรัชญา นี่ไม่ใช่หนังของคุณ
- การเอาดาราแอ็กชันมาพากย์ แต่ให้บทพากย์นิดเดียวดูจะไม่ค่อยคุ้มค่าหรือเกิดผลอะไรกับตัวหนังเท่าไหร่
- มุกป็อบคัลเจอร์บางมุกก็ลึกเกินไปสำหรับเด็ก
สรุปการรีวิว Minion The Rise of Gru
นอกจากงานภาพแล้วอีกจุดที่ต้องชื่นชมคืองานออกแบบเสียงและสกอร์ของหนังที่โอบอุ้มและเชิดชูความเป็นหนังตลกกึ่งแอ็กชันของมันได้ตลอดลอดฝั่ง แม้หลายครั้งจะอดคิดถึงอนิเมชันค่ายคู่แข่งอย่าง ‘Kung Fu Panda’ ไม่ได้ก็ตามแต่การออกแบบเสียงที่สอดประสานกับงานภาพก็ทำให้เห็นเลยว่ามันเป็นงานละเอียดที่ช่วยให้หนังทั้งน่าตื่นตาตื่นใจและชวนให้เราฮาอย่างออกรสออกชาติเลยทีเดียว
“ที่กล่าวมาเป็นเห็นของทางทีมงานเท่านั้น รสนิยมและความชอบของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ยังไงก็ขอฝากทุกคนลองดูและพิสูจน์กันได้แล้วลองมาเล่าสู่กันฟังได้นะ”