รีวิว The Gray Man ล่องหนฆ่า
ประเทศ: United States | เสียงพากย์:English, Thai | ปี: 2022 | 129 นาทีประเภท: แอ็คชั่น, ผจญภัย, ภาพยนตร์อเมริกัน, ภาพยนตร์จากหนังสือ
ผู้กำกับ:Anthony Russo, Joe Russo
นักแสดง:Ryan Gosling, Chris Evans, Ana de Armas, Jessica Henwick, Regé-Jean Page, Wagner Moura, Julia Butters, Dhanush, Alfre Woodard, Billy Bob Thornton
รีวิวหนัง The Gray Man ล่องหนฆ่า
ก่อนที่จะเริ่มรีวิวหนัง The Gray Man ทางทีมงาน Reviewmovies123 จะขอแนะนำเรื่องราวฉบับย่อของหนังเรื่องนี้กันก่อน ซึ่งเรื่องย่อมีอยู่ว่า หมายเลข 6 เป็นนักฆ่าลับในโครงการเซียร์ร่าของรัฐบาล จนวันหนึ่งเขาพบว่าคนที่เขาฆ่าคือนักฆ่าในโครงการเดียวกัน และผู้ควบคุมโครงการในปัจจุบันมีความลับซ่อนอยู่ เพื่อหาความจริงเขาจึงถูกทีมนักฆ่าตามล่าโดยต้องหาวิธีช่วยชีวิตของตัวประกันที่เคยมีบุญคุณต่อเขาไปพร้อมกัน
แม้ตัวหนังจะอิงจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันในปี 2009 ที่สร้างชื่อให้ มาร์ก เกรียนีย์ (Mark Greaney) แจ้งเกิดจนกลายเป็นนักเขียนแนวสายลับผู้ได้รับไม้ต่อให้สืบทอดตำนานของปรมาจารย์อย่าง ทอม แคลนซี (Tom Clancy) ในเวลาต่อมา แต่กว่ามันจะถูกดัดแปลงมาสู่หนังก็ผ่านมาถึงหนึ่งรอบนักษัตร แน่นอนว่าพล็อตหรือมุกอะไร ๆ ก็คงไม่สดใหม่อีกต่อไปแล้ว ว่ากันตามจริงดูตัวอย่างหนังก็แทบรู้เรื่องทั้งหมดแล้วด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องราวของสายลับนักฆ่าไร้นามที่ถูกลบประวัติเหลือเพียงตัวเลขเป็นชื่อแทนตัว มันก็มีเสน่ห์มาเสมอล่ะนะ
หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังบ็อกซ์บัสเตอร์ฟอร์มใหญ่แห่งปีของวงการจอเล็ก นี่เป็นหนังที่รวมทั้งทีมงานและนักแสดงระดับแถวหน้าของวงการฮอลลิวูดเอาไว้อย่างคับคั่ง อัดแน่นกลายออกมาเป็นหนังแอคชั่นระห่ำอย่างหนังเรื่องนี้ที่เพียงแค่เห็นชื่อของ 2 หนุ่มนักแสดงนำก็ซื้อใจผู้ชมให้กดดูกันได้ แถมยังได้ 2 คู่หูพี่น้องผู้กำกับชื่อดังแห่งยุคมาร่วมทัพด้วย แต่ผลลัพธ์ของหนังเรื่องนี้ จะออกมาดีมากน้อยแค่ไหนมาติดตามกันได้เลย
สำหรับหนังเรื่องนี้จะเป็นเรื่องราวของชายล่องหนคืออดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอ คอร์ท เจนทรี่ หรือ เซียร่าซิกซ์ ที่ โดนัลด์ ฟิตซรอย อดีตหัวหน้าเป็นผู้ดึงตัวคอร์ทจากเรือนจำกลางมาร่วมงานด้วย เขาเคยเป็นนักฆ่ามือฉมังที่หน่วยงานส่งไปปฏิบัติภารกิจ ทว่าตอนนี้สถานการณ์กลับพลิกผัน ซิกซ์ตกเป็นเป้าสังหารและถูกไล่ล่าตัวไปทั่วโลกจากการสั่งการของลอยด์ แฮนเซ่น อดีตเพื่อนร่วมงานที่ซีไอเอผู้พยายามทุกวิถีทางที่จะกำจัดเขาให้ได้ แต่เจ้าหน้าที่ดานี่ มิแรนด้า จะคอยให้ความช่วยเหลือในยามที่เขาต้องการ
อย่างที่บอกว่านี่คือการรวมทีมของทีมงานผู้สร้างและนักแสดงระดับบิ๊กเนม “โจ กับ แอนโทนี รุซโซ่” (จาก Avengers: Endgame) กลับมาหยิบจับผลงานระดับบ็อกซ์บัสเตอร์อีกครั้งในรอบหลายปี แน่นอนว่าพวกเขามีประสบการณ์ชั้นเลิศมาจากการทำหนังมาร์เวลแล้ว จึงไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่เท่านั้นได้อีกแล้ว ดังนั้นหนังเรื่องนี้จึงเปรียบเสมือนการลดดีกรีของพวกเขาลงมาอีกขั้น และน่าเสียดายที่หนังถูกเทใส่เครื่องปรุงแบบสำเร็จรูปลงไปค่อนข้างเยอะไปหน่อย
ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้มีงานโปรดักชั่นต่าง ๆ ค่อนข้างยิ่งใหญ่และจริงจังดี แต่ทุกองค์ประกอบที่ใส่มานั้น มันเป็นวัตถุดิบสำเร็จรูปเกือบจะทั้งหมด โดยเฉพาะฉากบู๊และฉากไล่ล่าต่าง ๆ เราแทบจะคุ้นชินมาจากหนังแอคชั่นแนวนี้มาแล้วทั้งนั้น เหมือนเอา Mission: Impossible ภาคหลัง ๆ มาผสมเข้ากับหนังตระกูล James Bond กับตระกูล Bourne อะไรประมาณนั้น ทุกอย่างก็มันส์บนพื้นฐานความเก่งกาจฉบับเวอวังดี
อีกหนึ่งองค์ประกอบที่เป็นปัญหาใหญ่ ๆ ของ หนังเรื่องนี้ก็คือบทหนัง ถึงแม้ว่าจะได้ทีมเดิมจาก Avengers: Endgame มาช่วยปั้นเรื่องให้ ไม่ว่าจะหนึ่งในผู้กำกับ กับ “คริสโตเฟอร์ มาร์คัส” และ “สตีเฟน แม็กฟีลีย์” ดูเหมือนว่าบทหนังจะยังไม่เข้มข้นกลมกล่อมดีสักเท่าไหร่ แต่จะโทษบทอย่างเดียวคงจะไม่ได้ เพราะการเล่าเรื่องของหนังก็ค่อนข้างขาดความน่าสนใจไปในจุดเชื่อมหลาย ๆ จุด พวกช่วงต่อระหว่างฉากแอคชั่นต่าง ๆ หนังยังทำรสชาติออกมาได้ค่อนข้างจืดไปสักหน่อย
บอกเลยว่าฉากบู๊ในหนังเรื่องนี้ ทำออกมาได้ถึงใจถึงอารมณ์และน่าตื่นตาเกือบจะทุกฉาก โดยเฉพาะฉากเปิดเรื่องที่มีเซ็ตฉากเป็นกรุงเทพฯ ถือว่าทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจและดึงดูดใจผู้ชมได้ดีตั้งแต่เริ่มต้น ขณะที่ฉากอื่น ๆ ก็ระห่ำสะใจได้ดีตลอดทั้งเรื่อง ถึงการเล่าเรื่องจะเป็นจุดบั่นทอนอารมณ์ของหนังไปทีละน้อยก็ตาม แต่ก็ต้องยกนิ้วให้ในส่วนของงานดีไซน์สตั้นท์ต่าง ๆ ที่ทำออกมาได้น่าพอใจ
รีวิวบทบาทนักแสดงจากเรื่อง The Gray Man
มาถึงการแสดงกันบ้าง เพราะนี่คือการโคจรมาเจอกันของ 2 ซุปตาร์ฝ่ายชายแถวหน้าของวงการทีเดียว “ไรอัน กอสลิ่ง” มาพร้อมกับบทสายลับที่ต้องมาเป็นเป้าหมายเสียเอง บทบาทอะไรแบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่อะไรเลยสำหรับเขา แต่เขาก็ยังแบกรับบทบาทของตัวเองได้ดี และเสน่ห์ของเขาก็ช่วยยกระดับคาแรกเตอร์ได้ดี ถึงแม้ว่ามันจะค่อนข้างดูธรรมดาไปสักหน่อย
แต่ในขณะที่ “คริส อีแวนส์” ที่มารับเป็นไอ้โหดโรคจิตสุดแสบ เป็นบทที่ยียวนกวนประสาทและน่าหมั่นไส้อย่างจริงจัง นั่นจึงเป็นอีกสเน่ห์ที่เราได้เห็นจากเขา หลังจากที่รับบทเป็นคนดีมาหลายเรื่อง กลับมาลองเป็นคน(พฤติการณ์)เลวอีกสักเรื่อง ในเรื่องนี้เขาก็ถือว่าตีบทแตกและทำให้เราเกลียด..ถีงจะเกลียดไม่ลง น่าเสียดายที่หนังยังส่งเสริมบทนี้ให้กับเขาได้ยังไม่สุดสักเท่าไหร่ เหมือนยังไปได้ไกลกว่านี้ได้อีก
นักแสดงสมทบคนอื่น ๆ ที่ยังโดดเด่นเหมือนเคย ก็คือ “อนา เดอะ อาร์มัส” ที่กลายเป็นเจ้าแม่ขาบู๊ในยุคปัจจุบันไปแล้ว และเรื่องนี้เธอก็ยังสวยเท่ไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าบทที่เธอได้รับนั้นจะค่อนข้างซ้ำจากหนังเรื่องก่อน ๆ ไปหมด แต่เสน่ห์ของเธอก็ยังแพรวพราวและมัดใจผู้ชมไม่เปลี่ยน เช่นเดียวกับ “เรเก้-ฌอง เพจ” ที่แม้ว่าไฟจะสาดไปถึงน้อยไปหน่อย แต่ออกมาแต่ละซีนก็คือน่าจับตาอยู่ไม่เบา
เอาเป็นว่าโดยภาพรวม ของหนังเรื่องนี้ ก็ถือว่าเป็นหนังแอคชั่นไล่ล่าสุดระห่ำ ที่เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จแบบเก่า ๆ ที่ไม่ได้สร้างความแปลกใหม่อะไรเท่าไหร่นัก แต่ด้วยสเกลงานของหนังที่ยิ่งใหญ่ กับทุนสร้างที่ทุ่มสร้างไปกว่า 200 ล้านเหรียญ เราจึงได้เห็นฉากแอคชั่นอลังการได้ตลอดทั้งเรื่อง แม้ว่าบทจะยังไม่ดี การเล่าเรื่องจะยังไม่ดึงดูด แต่ไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้ก็คือการประชันกันของเหล่านักแสดง ที่ต้องบอกเลยว่าทุกคนร่วมกันเป็นนางแบกให้กับหนังเรื่องนี้ ชนิดที่แบกจนไหล่แทบทรุดทีเดียว สำหรับผู้ที่ชื่นชอบหนังแอ็คชั่นบู๊ระห่ำมันส์ๆ ก็สามารถไปติดตามดูกันได้ที่สตรีมมิ่งทาง Netflix นั่นเอง